ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การทำการตลาดออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การทำการตลาดผ่าน SEO และโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook เป็นสองวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่หลายคนอาจสงสัยว่า การทำ SEO ด้วยเว็บไซต์มีข้อดีมากกว่า Facebook อย่างไร? ในบทความนี้ เราจะมาเปรียบเทียบข้อดีของการทำ SEO ผ่านเว็บไซต์กับการใช้ Facebook เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าควรเลือกใช้วิธีไหนหรือควรใช้ทั้งสองวิธีควบคู่กันไป

1. ความยั่งยืนและระยะยาวของผลลัพธ์

หนึ่งในข้อดีที่ใหญ่ที่สุดของการทำ SEO บนเว็บไซต์คือความยั่งยืนของผลลัพธ์ เมื่อคุณทำ SEO อย่างถูกต้องและมีคุณภาพ เว็บไซต์ของคุณจะสามารถอยู่ในอันดับที่ดีบนหน้าผลการค้นหาของ Google เป็นเวลานาน ซึ่งแตกต่างจากการทำการตลาดบน Facebook ที่ผลลัพธ์มักจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อการโพสต์หมดอายุหรือไม่ได้รับการส่งเสริมแล้ว โพสต์นั้นก็จะหายไปจากสายตาของผู้ใช้ นอกจากนี้ SEO ช่วยสร้างการเข้าชมแบบธรรมชาติ (organic traffic) ที่ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเพิ่มเติมในระยะยาว

2. การเข้าถึงผู้ใช้งานที่มีเป้าหมายชัดเจน

SEO ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการที่คุณนำเสนอได้โดยตรง ผู้ใช้เหล่านี้มักจะมีความต้องการที่ชัดเจนและพร้อมที่จะทำการตัดสินใจซื้อหรือใช้บริการเมื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ ขณะที่บน Facebook แม้จะสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ แต่ผู้ใช้งานบนโซเชียลมีเดียมักไม่ได้อยู่ในโหมดการค้นหาสินค้าหรือบริการ อาจแค่เลื่อนดูฟีดหรือพักผ่อน ทำให้การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการทำได้ยากกว่า

3. ความสามารถในการสร้างเนื้อหาที่มีความหมายและหลากหลาย

การทำ SEO ผ่านเว็บไซต์ช่วยให้คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่หลากหลายและมีความหมาย เช่น บทความ บล็อกโพสต์ อินโฟกราฟิก และวิดีโอ ซึ่งสามารถให้ข้อมูลที่ลึกซึ้งและช่วยในการตัดสินใจของผู้บริโภค นอกจากนี้ เนื้อหาเหล่านี้ยังสามารถปรับปรุงและอัปเดตได้ง่าย เพื่อให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของลูกค้า และยังเป็นการสร้างคุณค่าให้กับผู้ใช้งานในระยะยาว ขณะที่การโพสต์บน Facebook มักจำกัดความยาวและรูปแบบของเนื้อหา ทำให้ไม่สามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างลึกซึ้งเท่าที่ควร

4. การวัดผลและปรับปรุงอย่างมีประสิทธิภาพ

การทำ SEO บนเว็บไซต์ช่วยให้คุณสามารถวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างละเอียด เช่น การใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics ที่ช่วยติดตามพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ เช่น หน้าเว็บที่ผู้ใช้เยี่ยมชม เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ และเส้นทางการคลิกต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงเว็บไซต์และกลยุทธ์ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน Facebook อาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าถึงและการมีส่วนร่วม แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ของคุณ

5. การสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพ

เว็บไซต์ที่มีการทำ SEO ที่ดีมักจะสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพให้กับธุรกิจของคุณ เมื่อผู้ใช้งานเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าแรกของ Google พวกเขามักจะเชื่อถือว่าธุรกิจของคุณมีคุณภาพและได้รับการยอมรับ ซึ่งต่างจากการใช้ Facebook ที่แม้ว่าจะสามารถสร้างการติดตามได้ง่าย แต่การสร้างความน่าเชื่อถืออาจทำได้ยากกว่า เนื่องจากผู้ใช้มักมองว่าโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่สำหรับการสื่อสารทั่วไปมากกว่าการค้นหาข้อมูลเชิงลึก